ทำไมถึงมาเขียนบล็อก

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก อ่านมาตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่เป็นเด็กชั้นประถมเลยก็ว่าได้ แรกๆ ก็หนังสือการ์ตูน  แล้วก็มาหนังสือที่เป็นตัวหนังสือ

ผมอ่านหนังสือมาตลอดชีวิต ไม่ว่าไปเรียนที่ไหน เจ้าหน้าที่ห้องสมุดจะรู้จักผมเป็นอย่างดี แต่ผมไม่เคยชอบเขียนหนังสือ

ตอนเป็นเด็กจำได้ว่า เคยอ่านหนังสือของยาขอบ  เห็นว่า ยาขอบหาเงินจากการเขียนหนังสือได้ ผมว่าฝันลมแล้งๆ ว่า โตแล้วเป็นนักเขียนก็ดีเหมือนกัน  เพราะ ทำงานที่ไหน เขียนที่ไหนก็ได้ ตอนนั้นก็ยังอยู่ในชั้นประถม

แต่พออ่านมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ยังอ่านเฉพาะนิยายประโลมโลกอยู่  ผมก็รู้ตัวเอง ชาตินี้ทั้งชาติก็เป็นนักเขียนกับเขาไม่ได้  ผมไม่รู้ว่า จะให้ตัวละครเขาพูดกันอย่างไร  ไม่รู้จักการเขียนบรรยายฉากของเรื่องที่จะเขียน

ต่อมาโตมากขึ้น หนังสือนวนิยายอ่านจนหมดห้องสมุด อ่านนิตยสารรายสัปดาห์มาด้วย ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมแล้ว  หนังสือจีนอ่านจนรู้ว่า เรื่องไหนมันจะไปอย่างไร  มันก็เบื่อ ก็หันไปหาหนังสือประเภทความรู้อ่าน คือ เริ่มต้นอ่านหนังสือวิชาการ 

พอเริ่มต้นอ่านหนังสือวิชาการ  หนังสือนวนิยายต่างๆ นานา ก็แทบจะเลิกอ่านเลยเหมือนกัน

เมื่อมามีอาชีพเป็นครู ผมเป็นครูตั้งแต่ก่อนการเกณฑ์ทหาร คือ เรียนจบ ป.กศ. ต้นก็มาเป็นครูเลย ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย  ผมก็คงยังได้แต่อ่านไม่เคยเขียน

ต่อมาชีวิตผกผันมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เรียนจบปริญญาโท ผมได้งานเขียนครั้งแรกในชีวิตคือ เขียนวิทยานิพนธ์  เออ....... ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่า... ผมเขียนได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เขียนนวนิยาย

แล้วผมก็เขียนเก่งเสียด้วย เพราะ วิทยานิพนธ์ของผมนั้น ได้รับวิทยานิพนธ์ดีเด่นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปีนั้นด้วย

อย่างไรก็ดี  หลังจากเขียนวิทยานิพนธ์แล้ว ผมก็ไม่เคยเขียนอะไรอีก ก็คงได้แต่อ่านเหมือนเดิม

เมื่อผมรำคาญการทำงานในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเริ่มมีการจัด 5 ส.  ผมก็เลยหนีมาเรียนปริญญาเอก ทั้งๆ ที่ตอนแรกคิดว่า จบปริญญาโทก็พอแล้ววะ... ทำนองนั้น

การเรียนปริญญาเอกนี้ เขียนกันหูตาตั้ง  เทอมหนึ่งเขียนรายงานเกือบ 10 เรื่อง แต่ละเรื่องนั้น ต้องมีคุณภาพในการตีพิมพ์วารสารมาตรฐานว่าอย่างนั้นเถอะ

ผมก็รู้ตัวว่า ผมเขียนงานวิชาการได้แน่ๆ เพราะ มันไม่ยากอะไร มันไม่ยากเหมือนเขียนนวนิยาย ความรู้มีอย่างไร ก็เขียนไปตรงๆ

เนื่องจากได้ทุนในการเรียนปริญญาเอกของโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก  ทุนนี้บังคับให้ไปเรียนในต่างประเทศ อย่างน้อย 6 เดือน  ผมก็ถูกส่งไปเรียนที่ University of Leeds ที่ประเทศอังกฤษ

เรื่องการไปต่างประเทศนี่ก็เหมือนกัน  ผมไม่เคยนึกกระสันอยากไปต่างประเทศมาก่อนเลยในชีวิต ไม่เคยสนใจเรียนภาษาอังกฤษแบบที่จะสนทนากับชาวต่างประเทศได้

ผมเรียนเก่งในเกือบทุกวิชายกเว้นวิชาภาษาอังกฤษนี่แหละ ผมมักจะพูดกับเพื่อนเสมอว่า “ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่เรา จะเรียนไปทำห่าอะไร

ที่ว่าชอบอ่านหนังสือนั้น ผมก็เลือกอ่านเฉพาะหนังสือภาษาไทยเท่านั้น

การไปต่างประเทศด้วยโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษกนี้ เป็นเหมือนเด็กเส้นจริงๆ คือ เราไม่ต้องสอบโทเฟล (Toefl) ไม่ต้องสอบ ielf   ผมไปในฐานะ research fellow

บอกตรงๆ ตอนขึ้นเครื่องบินไปอังกฤษนั้น เสียง Loud speaker ตามสนามบินนั้น ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว  แต่อ่านเก่งพอสมควรแล้ว เพราะตอนเรียนปริญญาโท ภาษาศาสตร์นั้น อาจารย์บังคับให้อ่านภาษาอังกฤษมาก

ตอนเข้าตามประตูต่างๆ ยื่น passport ยื่นจดหมายเชิญจาก University of Leeds ให้กับเจ้าหน้าที่นั้น ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว  ยิ้มอย่างเดียว 

คนไทยจะคุ้นกับสำเนียงอเมริกัน  ไปเจอสำเนียงอังกฤษก็เดี๊ยงกันเป็นแถว  อย่างไรก็ดี ผมก็มีความสามารถพาตัวผมเองไปถึง University of Leeds ได้ 

ผมเดินทางไปคนเดียว

เมื่อถึง Leeds แล้ว  นักเรียนไทยรุ่นพี่ ขายโทรทัศน์เก่ามาให้ 1 เครื่อง รายการโทรทัศน์ของอังกฤษนี่ดีมาก คือ เขาจะมี Teletext ขึ้นที่หน้าจอตลอดเวลา

ผมไม่เคยไปเที่ยวไหน อยู่ในห้องอ่านหนังสือดูโทรทัศน์ แบบมี Teletext อยู่ประมาณ 6 เดือน ศ.ดร. สมบัติ จันทรวงศ์ ที่ปรึกษาก็ไปเยี่ยม ไปตามข้อบังคับของโครงการปริญญาเอกกาญจนภิเษก

Professor Duncan McCargo (ทำวิจัยปริญญาเอกเรื่องมหาจำลอง)  ที่ปรึกษาที่โน่น ฟ้องอาจารย์สมบัติว่า ผมไม่คุยกับใคร ไม่ไปไหน แล้วภาษาอังกฤษมันจะดีขึ้นอย่างไร ฟ้องต่อหน้านี่แหละ

อาจารย์ Duncan McCargo นี่ อายุน้อยกว่าผม  ผมก็ประกาศสัจจะวาจาออกไปว่า “ยังฟังไม่ออกเลย แล้วจะคุยกับใครได้

ที่ปรึกษาทั้ง 2 คนยอมรับเหตุผลของผม อาจารย์ Duncan McCargo ยังเล่าต่อว่า เคยมีนักเรียนจีนของท่านเอง เก่งมาก  คือ พออาจารย์ Duncan ก็ตอบแบบฉาดฉาน สำเนียง ไวยกรณ์ถูกต้องเป๊ะ แต่ตอบไปเป็นคนละเรื่องเลย เพราะ ฟังไม่ออก

ตกลงผมอยู่อังกฤษเป็นระยะเวลา 1 ปี กับ 6 เดือน อย่างไรก็ดี ผมก็ไม่ค่อยออกไปคุยกับใครเหมือนเดิม  แต่ห้องผมนั้น นักศึกษาต่างชาติมาหาเป็นประจำ

ให้ช่วยปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ช่วยแก้รายงาน ฯลฯ  แล้วผมก็มีแฟนเป็นคนเวียดนาม ภาษาอังกฤษก็เลยดีขึ้น  

ตอนที่อยู่อังกฤษนี่แหละ  มันก็มีเวลาว่างพอสมควร ผมจึงเข้าไปถกเถียงในห้องศาสนา ของพันธุ์ทิพย์

ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่พันธุ์ทิพย์เปิดใหม่ๆ ผมอยู่ที่ห้อง Hardware เพราะ ผมเองประกอบคอมพิวเตอร์เองได้ 

คอมพิวเตอร์ตัวแรกของผม ไม่มีฮาร์ดดิสก์  จอโมโนโครม ใช้เวิร์ดจุฬาฯ แรม 128 เม็ก นี่ก็สุดหรูแล้ว ในยุคนั้น  Windows ยังไม่ถือกำเนิดออกมา

ในการถกเถียงกันในห้องศาสนาพันธุ์ทิพย์ สร้างชื่อเสียงให้ผมพอสมควร กลับมาเรียนต่อในเมืองไทย ผมก็เล่นห้องศาสนาอยู่ จนกระทั่ง ถูกห้ามเข้า เพราะ ด่าควายในห้องนั้น

พันธุ์ทิพย์ไม่ให้เข้า กูก็ไปเล่น GotoKnow ก็ได้วะ  ก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอีก  แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเดิม  ถูกห้ามเขียนในนั้นเป็นปี

ผมก็จึงต้องมาหาแหล่งใหม่เอง  เพราะ เห็นแล้วว่า ในการไปเขียนให้บล็อกของคนอื่นนั้น  เราต้องเคารพกฎกติกามารยาทของเขา  มันทำอะไรไม่สะดวกนัก

แต่บล็อกดังกล่าวนั้น ควรเข้าไปเล่น เพราะ มันจะโฆษณาบล็อกของเราได้ 

อย่าลืมว่า เว็บไซต์นั้น มีมากมายมหาศาล  เราเขียนแล้ว ใครจะรู้จัก ใครจะเข้ามาอ่าน นี่คือ ปัญหาหลัก 

ในกรณีของผมนั้น พอผมมาเขียนที่นี่ แฟนคลับ ศัตรูคลับก็ตามมาอ่านเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การที่เราไปเล่นในบล็อกคนอื่นนั้น สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง

ตอนที่ต้องเลือกเขียนบล็อกเองนั้น ผมมี 2 ตัวเลือก คือ Blogger.com ของกูเกิ้ลที่ใช้ในขณะนี้ กับ Word Press  

ผมเลือก Blogger.com เพราะง่าย สะดวก และเป็นของ Google ซึ่งจะทำให้คนอื่น Search บล็อกของเราได้ง่ายขึ้น


ผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านอยู่วันสองวัน ผมก็ทำบล็อกนี้ได้แล้ว แต่กว่าจะเป็นรูปร่างอย่างนี้ ต้องศึกษาและปรับปรุงกันนานเหมือนกัน 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น